ฟุตบอล เป็นเกมที่สนุกและมีความสุข หากทีมที่เชียร์ชนะ หรือผลงานเป็นที่น่าพอใจ แต่อาจเป็นเกมที่โหดร้าย หากแฟน ๆ ต้องเฝ้าดูทีมของพวกเขาแพ้ในแต่ละสัปดาห์ บางครั้งมันแย่ หากบางเกม ผิดจากที่คิดเอาไว้มากเกินไป ถึงขั้นทำลายหัวใจของคุณได้นี่คือ 5 เกมฟุตบอลที่พลิกล็อกมากสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล บางคนอาจจะจดจำไปอีกนาน ไม่มีวันลืม และบางคนก็อยากจะลืมมันไปให้เร็วที่สุด
1. ลิเวอร์พูล – เอซี มิลาน ยูฟ่าแชมเปียนลีก 2005 อีสตันบูล ตุรกี
- ฝันร้ายของปีศาจแดงดำ เอซีมิลาน ที่ยังคงตามหลอกหลอนมาจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาเองยังสงสัยว่า มันผิดพลาดได้อย่างไร
- ในช่วงพักครึ่ง เอซีมิลาน นำ ลิเวอร์พูล 3-0 พร้อมรูปเกมที่ดูดีกว่ามาก วันนี้น่าจะเป็นรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนลีกที่ง่ายที่สุด
- ผู้ชมหลายคน เริ่มทยอยออกจากสนามกันแล้ว บางคนรู้สึกอายที่จะเรียกว่าเป็นกองเชียร์หงส์แดง บางคนถึงกับถอดเสื้อสีแดงที่รัก ยอมเดินตัวเปล่าออกจากสนาม
- กัปตันทีม เปาโล มัลดินี่ ยิงให้ทีมนำตั้งแต่นาทีที่ 1 หลังจากนั้น เฮอนัน เครสโป กองหน้าอาเจนไตน์ ซัดเบิ้ลอีก 2 ประตู ในนาทีที่ 39 และ 44
- มันจบแล้ว ถึงแม้จะเหลืออีก 45 นาที นำ 1 ลูกยังพอมีหวัง และถ้านำ 2 ลูก ยังหวังได้บ้าง แต่นี่มัน 3 ลูก ดูมันห่างไกลเกินไป การเล่นของทีมจากอิตาลีก็เล่นดีเหลือเกิน แทบไม่เห็นช่องที่จะเจาะเข้าไปได้เลย
- ราฟาเอล เบนิเตซ พูดปลุกใจอะไรบางอย่าง ในช่วงพักครึ่ง เขาทำให้ห้องแต่งตัวของเหล่านักเตะหงส์แดง ไม่ได้หมดอาลัยหรือหมดหวัง กลับมาเล่นครึ่งหลังกลายเป็นเหมือนคนละทีม
- ในขณะที่ เอซีมิลาน กลับลงมาเล่นครึ่งหลังแบบสบายใจ ทุกคนดูผ่อนคลาย เดินพูดคุยกันลงมาในสนามแบบยิ้มแย้มแจ่มใส ลงไปเตะให้ครบอีก 45 นาทีแล้วรอรับถ้วย พวกเขาเริ่มวาดฝันกันแล้ว ว่าจะฉลองกันอย่างไร
- ยังไม่มีใครตระหนัก หรือนึกถึงเลย ว่าในครึ่งหลัง พวกเขาจะต้องเจอกับอะไร!!!
- เริ่มครึ่งหลัง 9 นาที กัปตันของพวกเขา สตีเฟ่น เจอราร์ด โขกเสียบมุม ตีไข่แตก พร้อมกับยกสองมือขึ้นรัวๆ ทำสัญญาณว่าให้ทุกคนในทีมอย่าถอดใจ บุกและสู้ต่อไป อย่ายอม สัญญาณเตือนเริ่มขึ้นแล้ว
- หลังจากนั้นอีกเพียง สองนาที วลาดิเมียร์ ชมิเซอร์ ปีกเช็ก ซัดระยะไกลจากนอกกรอบ เสียบมุมซ้าย ดีด้า พุ่งมาปัดได้ แต่บอลยังแรงพอเข้าประตูไป
- 3 – 2 แล้ว ถึงตอนนั้น นักเตะหงส์แดงทุกคนเชื่อว่า ทุกอย่างเราทำได้
- หลังจากนั้นอีกเพียง 4 นาที กัปตันเจอราร์ด วิ่งหลุดเข้าไปในเขตโทษ กำลังจะง้างยิง เป็นกัตตูโซ่ เหนี่ยวแขนเอาไว้ กรรมการชี้ไปที่จุดโทษทันที
- ชาบี อลองโซ่ รับหน้าที่สังหาร ดีด้าเซฟได้ แต่บอลกระดอนมาให้อลองโซ่ ซ้ำเข้าไป 3-3!!!
- สาวกกองเชียร์ลิเวอร์พูล ทุกคนที่ดูอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ข้างสนามหรือดูผ่านถ่ายทอดสดทั่วโลก ดีใจกันอย่างบ้าคลั่ง
- เกมจบ ต่อเวลาพิเศษก็ยังทำได้แค่เกือบ ทั้งคู่ สุดท้ายยิงจุดโทษ
- การดวลจุดโทษที่แสนปวดใจแฟนบอลทั้งสองทีม ฝั่งเอซีมิลาน มีเพียง ยอนดาลโธมัสสันกับกาก้า ที่ยิงเข้าไป
- ฝั่งลิเวอร์พูล ดีทมาร์ ฮามัน ชีบริล ซีสเซ่ และ วลาดิเมีย ชมิเซอร์ ยิงเข้าไป จบแล้ว พวกเขาเป็นแชมป์
- เอซีมิลาน ทั้งทีมนอนแผ่หลา ทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ ทั้งมึนงง มันโหดร้ายเกินไปที่เกิดขึ้นกับพวกเขา
2. เดนมาร์ก : ยูโร 1992
- เดนมาร์ก ตกรอบคัดเลือก ไม่ผ่านเข้าไปเตะรอบสุดท้ายในรายการชิงแชมป์ยุโรปปี 1992
- ยูโกสลาเวีย ที่ได้เข้ารอบ เป็นประเทศที่อยู่ในภาวะสงครามและต้องถอนตัวจากการแข่งขันในเวลาต่อมา
- เดนมาร์กถูกขอให้เข้าแข่งขันแทนยูโกสลาเวีย ซึ่งเดนมาร์ก ชนะ เสมอ แพ้ อย่างละนัด ในรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้พวกเขาจบอันดับสอง เข้าสู่รอบน็อกเอาต์
- รอบรองชนะเลิศ พวกเขาชนะเนเธอแลนด์ ในการดวลจุดโทษ หลังจากเสมอกันในเวลา 2-2 ผู้ที่ยิงจุดโทษพลาดคนเดียวฝั่งเนเธอแลนด์ คือ มาโก แวนบาสเท่น
- ในรอบชิงชนะเลิศ ไม่มีใครเชื่อว่า ผู้เล่นฝั่งเยอรมัน ของ แบตี้ โฟร์ค ซึ่งเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับโลก เอ่ยชื่อแต่ละคน คุ้นหน้าคุ้นตากันอย่างดี ในขณะที่ฝั่งเดนมาร์ก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่จะมีคนจำได้
- ยอนเจนเซ่น ยิงขึ้นนำให้เดนมาร์ก ในนาทีที่ 18 และหลังจากนั้น ก็เป็นฝั่งเยอรมัน ที่บุกอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ก็ไม่สามารถยิงผ่านมือ ปีเตอร์ ชไมเคิล ไปได้
- นาทีที่ 78 คิม วิลฟอร์ด ยิงประตูที่สองให้เดนมาร์ก ฝังเยอรมันสนิท ช็อกคนดูทั่วโลก จบด้วยเดนมาร์ก คว้าแชมป์ยูโร ชนะเยอรมันในรอบชิง 2-0
- เป็นตำนานเทพนิยายเดนส์อันเหลือเชื่อ ที่เล่าขานกันจากรุ่นสู่รุ่นไปอีกนานแสนนาน
3. กรีซ : ยูโร 2004
- ก่อนเริ่มการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้ กรีซ ถูกวางไว้อันดับแรกๆ สุด ที่จะตกรอบแรก โดยมีอัตราต่อรองสำหรับแชมป์ยูโร กรีซ อยู่ที่ 1 : 150 (แทง 1 ได้ 150)
- ไม่มีใครคาดคิดว่า จุดแข็งสุดของกรีซชุดนี้ ไม่ใช่กองหน้าที่โด่งดัง หรือกองกลางระดับโลกอะไร กลับเป็นกองหลัง ที่แข็งแกร่งเหมือนกำแพงเหล็ก เล่นอย่างมีระบบ ยากที่ใครจะเจาะผ่านไปได้
- ถ้าไม่เสียประตู ก็ไม่แพ้ หลักการมีเพียงเท่านั้น สำหรับกุนซือทีมชาติกรีซ ออตโต เรฮาเกล ชาวเยอรมัน
- กรีซเตะเปิดสนาม เจอ โปรตุเกส ที่มี โรนัลโด หลุยฟิโก รุยคอสตา แต่กลายเป็น กรีซ เอาชนะไปได้ 2-1
- หลังจากนั้น กรีซ เสมอ สเปน และไปแพ้รัสเซีย เข้ารอบต่อไปในอันดับ 2 ไปเจอ ฝรั่งเศส
- กรีซ ชนะ ฝรั่งเศส 1-0 ที่มีทั้ง ซีดาน อองรี ตูราม ปิแรส
- รอบรอง กรีซ ปราบ เช็ก 1-0 ยิงในช่วงต่อเวลาพิเศษ เช็กที่มีดาวซัลโวทัวร์นาเม้น มิลานบารอส
- รอบชิง โปรตุเกส หมายมั่นปั้นมือ จะได้ล้างแค้น กรีซ แน่ๆ หลังจากที่แพ้ไปในนัดเปิดสนาม
- นัดแรกนั้น โรนัลโด ลงมาเป็นตัวสำรอง แต่นัดชิงนี้ โรนัลโด ลงตัวจริงตั้งแต่นาทีแรก แต่ โรนัลโด นัดนี้ ทำอะไรกองหลังกรีซไม่ได้เลย เจาะเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านจริงๆ
- กลับเป็น อันเคลอส ชาริสเตอัส กองหน้าจอมพเนจร ซึ่งตอนนั้นอยู่ แวเดอร์ เบรเมน ซัดประตูชัยในนาทีที่ 57
- นอกนั้น รูปเกม ส่วนใหญ่ก็เป็นฝั่ง โปรตุเกส บุกข้างเดียว แต่ถึงโจมตีอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่สามารถทำลายแนวป้องกันที่แข็งแกร่งของกรีซไปได้เลย
- กรีซ ได้รับสมญานามว่า ทีม เรือโจรสลัด ปล้นแล้วหนี ก่อนหน้านี้คือ กรีซ ยังไม่เคยชนะทัวร์นาเม้นใหญ่มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชาวกรีซจึงเฉลิมฉลองอย่างบ้าคลั่ง เป็นแชมป์ยูโร ที่หลายๆ ชาติอื่นไม่อยากจดจำ
4. ปาร์ม่า : โคปปาอิตาเลีย 2002
- ปาร์ม่าเริ่มต้นฤดูกาลปีนั้น ด้วยการขายสองผู้เล่นแนวรับคนสำคัญของพวกเขา จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน หนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลก และ ลิลียง ตูราม กองหลังฝรั่งเศสที่ดีที่สุด ให้กับยูเวนตุส
- ในท้ายฤดูกาลปีนั้นเอง ยูเวนตุสคว้าแชมป์กัลโช่เซเรียอาในขณะที่ปาร์ม่า ต้องดิ้นรนตัวเองจากการตกชั้น โชคยังดีที่ยังฟาดฟันด้วยผลงานดีขึ้นมาในช่วงท้ายฤดูกาล ทำให้รอดตกชั้นไปได้
- โคปป้า อิตาเลีย รอบชิงชนะเลิศในปี 2002 ยูเวนตุส เจอ ปาร์ม่า ไม่ต้องสงสัยเลย แชมป์กัลโช่ เจอทีมท้ายตาราง ทุกอย่างดูเป็นเรื่องง่าย สบายๆ สำหรับยูเวนตุส รอรับแชมป์อีกถ้วยได้เลย
- เกมแรกในบ้าน ยูเวนตุส ดูทุกอย่างเข้าทางไปเสียหมด ขึ้นนำสบายๆ 2-0 ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
- แต่ในนาทีสุดท้าย ฮิเดโทชิ นากาตะ ตัวสำรองปาร์ม่า เปลี่ยนตัวลงมายิงนาที 90 จบเกม ยูเวนตุสชนะ 2-1
- นัดสองในบ้าน ปาร์ม่า เจ้าบ้านยิงขึ้นนำนาทีที่ 3 หลังจากนั้น ยูเวนตุสก็พับสนามบุก ยูเวนตุสที่มีทั้ง เดลปีโล คอนเต เทรเซเก้ต์ แต่ก็ไม่สามารถผ่านแนวรับอันเหนียวแน่นของปาร์ม่าได้เลย
- ปาร์ม่าที่เพิ่งขายตูรามและบุฟฟ่อนไปให้ยูเวนตุส ปาร์ม่าที่ต้องทำแต้มหนีตกชั้น
- จบการแข่งขัน ปาร์ม่าได้แชมป์ถ้วยนี้ จากผลรวม 2-2 ชนะตามกฎประตูทีมเยือน
5. แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด : แชมเปี้ยนลีก 1999
- เป็นการพบกันของสองทีมยักษ์ใหญ่จากอังกฤษและเยอรมัน ที่ทั้งคู่ต่างหวัง 3 แชมป์
- กัปตันทีมทั้งสองทีมก็โดนแบนพอดี นั่นคือ รอยคีน และ สเตฟาน เอฟเฟนแบร์ก ผู้รับหน้าที่กัปตันแทน เป็นผู้รักษาประตูของทั้งสองทีมเช่นกัน ปีเตอร์ ชไมเคิล และ โอลิเวอร์ คาห์น
- มาริโอ บาสเลอร์ ยิงฟรีคิกให้ บาเยิร์นมิวนิค ขึ้นนำ ตั้งแต่นาทีที่ 6 หลังจากนั้น รูปเกมยังเป็นทีมจากเยอรมัน ที่บุกอย่างต่อเนื่อง ทั้งชนเสา เฉียดเสา เกือบได้ประตูเพิ่มอีกหลายหน ในขณะที่รูปเกม แมนยู สู้ไม่ได้เลย
- ครึ่งหลัง เริ่มต้น ก็ยังเป็นบาเยิร์น มิวนิค ที่ยังคุมจังหวะแดนกลางไว้ได้หมด ปีกซ้ายไรอันกิ๊กส์ และปีกขวา เดวิดเบคแฮม ยังไม่สามารถเปิดบอลสวยๆ เข้าไปให้กองหน้าได้ทำอันตรายได้
- นาทีที่ 80 บาเยิร์น เปลี่ยน โลธามัทเธอุส ออก ด้วยความมั่นใจว่า ปีศาจแดงไม่อาจทำอันตรายอะไรพวกเขาได้แล้ว
- ในขณะที่ แมนยู เปลี่ยนเอา แยสเปอร์ บลอมควิส และกองหน้า แอนดี้โคล ออก ส่งสองตัวสำรอง เทดดี้ เชอริ่งแฮม และ โอเล่ กุนนา โซลชา ลงไปแทน
- หมดเวลา 90 นาทีไปแล้ว แฟนบอลบาเยิร์นมิวนิค ต่างกระโดดโลดเต้น ร้องเพลงกันเสียงดังลั่นสนาม รอเวลากรรมการดูเวลาทดเจ็บ และเป่าหมดเวลาเท่านั้นเอง
- อย่างไม่มีใครคาดคิด นาทีที่ 90+1 เทดดี้ เชอริ่งแฮม ยิงประตูตีเสมอ ณ ตอนนั้น ผู้เล่นบาเยิร์นมิวนิค เหมือนช็อก ทุกคนเล่นต่อแบบหมดแรง และ นาทีที่ 90+3 เป็น โซลชา โหม่งประตูชัยเข้าไป
- แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ 3 แชมป์สมใจ ในขณะที่ บาเยิร์น มิวนิค เล่นนัดชิงเดเอฟเบโพคาลแพ้เบรเมน จึงได้แชมป์บุนเดสลีกาถ้วยเดียว